ทันตกรรมเพื่อความงาม
ฟันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ช่วยให้เกิดความสวยงาม โดยเฉพาะในขณะที่ยิ้มแย้มและหัวเราะ การแก้ไขฟันส่วนที่ไม่ชวนมอง เช่น ฟันด่าง ฟันเหลือง ฟันดำ ฟันตกกระ ฟันห่าง สีวัสดุอุดฟันที่ต่างจากสีของฟันอย่างชัดเจน และอื่น ๆ จึงช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี มีรอยยิ้มที่สวยสดใส และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เป็นเจ้าของฟันอย่างเห็นผลชัดเจนโดยใช้เวลาไม่นานนัก
ทันตกรรมเพื่อความงาม จึงเป็นการสร้างรอยยิ้มที่สวยงามชวนมองและประทับใจให้กับผู้รับบริการด้วยวิธีการทางทันตกรรมต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ดังนี้
- การฟอกสีฟัน (teeth whitening)
ในปัจจุบันฟันที่ขาว แวววาว สดใส สะอาด สวยงามกำลังเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของบุคคลทุกคนและทุกระดับ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและในกลุ่มวัยทำงานอย่างมาก ทางคลินิกจึงมีบริการฟอกสีฟันให้ขาวสดใสโดยให้บริการฟอกสีฟันที่คลินิกเพียงครั้งเดียวภายในเวลา 1ชั่วโมงเท่านั้น หรือจะให้ทางคลินิกพิมพ์ถาดสำหรับฟอกสีฟันเพื่อนำกลับไปทำเองที่บ้านในช่วงเช้าระหว่างทำงานบ้าน อ่านหนังสือ หรือก่อนนอนก็ได้ เช่นกัน
ซูม ไวท์เทนนิ่ง (Zoom! Whitening)
ระบบการฟอกสีฟันระดับมืออาชีพที่ช่วยทำให้รอยยิ้มของท่านขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 8 เฉด ภายใน 45 นาที
Zoom! ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของสหรัฐอเมริกาในการฟอกสีฟันอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยและต้องการเห็นผลอย่างชัดเจนภายในเวลาไม่นานนัก
• ขั้นตอนการทำงานของ Zoom! เริ่มต้นโดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ปกปิดผิวหนังรอบปาก ริมฝีปาก ตลอดจนเหงือกให้พ้นจากการถูกแสง โดยเหลือเว้นไว้เพียงบริเวณผิวหน้าของฟันที่ต้องการฟอกสีเท่านั้น
• จากนั้นทันตแพทย์จะทาเจลที่ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานควบคู่กับแสงจากเครื่อง Zoom! เพื่อกระตุ้นให้ เจลแตกตัวและปล่อยสารที่มีคุณสมบัติกำจัดสีซึมผ่านเข้าไปในเนื้อฟัน เพื่อฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลอย่างรวดเร็ว
• ผลของการฟอกสีฟันนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใด ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาภายหลังการฟอกสีฟัน พฤติกรรมในการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ชนิดของอาหารและเครื่องดื่มที่นิยมรับประทาน และการสูบบุหรี่ แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี
คุณประโยชน์ของการฟอกสีฟัน
- แก้ไขปัญหาฟันที่มีสีคล้ำ สีน้ำตาล สีเหลือง และมีคราบต่างๆบนฟัน ให้มีความขาวมากขึ้น
- สามารถทำได้ในบุคคลทั่วไป
- สามารถปรับปรุงรอยยิ้มให้มีฟันขาวสว่าง เงางาม เป็นประกาย ช่วยให้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น
การดูแลรักษาภายหลังการฟอกสีฟัน
- ควรทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเป็นการเริ่มวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพปากและฟันซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
- ควรทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง
- ควรทำการบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ก่อนนอนทุกวัน โดยทำกลั้วน้ำยาและอมไว้ในปากอย่างน้อย 1 นาที และไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารภายใน 30 นาทีหลังการบ้วนปาก
- ควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน
.
คำถามที่ถูกถามบ่อย (Frequently Asked Questions) |
Q: |
Zoom! Teeth Whitening คืออะไร |
A: |
Zoom! คือ ระบบการขจัดสีฟันหรือคราบที่เกิดขึ้นในผิวฟันและเนื้อฟันให้หมดไปหรือจางลง ทำให้ฟันขาวขึ้นจากเนื้อฟันเอง |
|
Q: |
อะไรเป็นสาเหตุให้ฟันมีสีหมองคล้ำ |
A: |
มีหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้น การรับประทานอาหารที่มีสีติดบนผิวฟันได้ง่าย เช่น ชา กาแฟ ไวน์แดง น้ำอัดลมบางชนิด เป็นต้น การสูบบุหรี่ หรือการได้รับยาต้านจุลชีพบางชนิด เช่น Tetracycline ระหว่างการสร้างเนื้อฟัน หรือการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปก็อาจทำให้ฟันเหลืองคล้ำได้ |
|
Q: |
ใครเหมาะที่จะทำการฟอกสีฟัน |
A: |
บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ผลของการฟอกสีฟันอาจจะแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสีฟันเดิม โดยทันตแพทย์ของท่านจะตรวจและให้คำแนะนำ |
|
Q: |
การฟอกสีฟันเป็นที่นิยมมากหรือไม่ |
A: |
เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากการมีรอยยิ้มที่ขาวสว่างสดใสเป็นประกายสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดและทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจกับรอยยิ้มและย่อมส่งผลถึงบุคลิกภาพโดยรวมทั้งหมดอีกด้วย ระบบการทำงานของ Zoom! ก็รวดเร็วเพียง 45 นาทีเท่านั้น ซึ่งสามารถมาทำได้ในช่วงเวลาที่สะดวก เช่นในช่วงพักกลางวัน เป็นต้น |
|
Q: |
การฟอกสีฟันปลอดภัยหรือไม่ |
A: |
ปลอดภัยแน่นอน จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่า การฟอกสีฟันภายใต้การแนะนำดูแลของทันตแพทย์นั้นปลอดภัยที่สุด อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ฟอกสีฟันในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี และในสตรีมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร |
|
Q: |
ผลของการฟอกสีฟัน จะอยู่ได้นานแค่ไหน |
A: |
ภายหลังการฟอกสีฟันแล้ว ผลจะอยู่ได้นานตราบเท่าที่คุณคอยดูแลเอาใจใส่รักษาฟันเป็นอย่างดี และปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ อย่างไรก็ตามสามารถทำการฟอกสีฟันเพิ่มเติม (Touch Up) เพื่อให้ฟันของคุณขาวอยู่เสมอด้วย DayWhite หรือ NiteWhite สำหรับฟอกสีฟันเองที่บ้าน ซึ่งจะยิ่งทำให้ฟันของคุณขาวตลอดเวลา |
|
Q: |
ผู้รับการฟอกสีฟันสามารถทำอะไรได้บ้างในระหว่างที่ได้รับการทำ Zoom! |
A: |
ควรนอนหงายหลังในท่าสบาย ผ่อนคลาย หลับตาฟังเพลงหรือชมรายการโทรทัศน์ ยกเว้นบางรายที่มีปัญหาบางอย่าง เช่น ไอ หรือ สะอึก ไม่เหมาะที่จะทำการฟอกสีฟันด้วยวิธีนี้ |
|
Q: |
เราจะป้องกันอวัยวะส่วนอื่นไม่ให้ถูกแสงได้อย่างไร |
A: |
ทันตแพทย์จะทำการปกปิดผิวหนังและเหงือกไว้ให้พ้นจากแสง ยกเว้นเพียงส่วนของฟัน โดยจะมีอุปกรณ์ป้องกันรอบปาก สวมแว่นตากันแสง ทาครีมกันแดดรอบปากและใต้จมูก ปกปิดเนื้อเยื่อทุกส่วนภายในปากและเหงือกและรอบ ๆ ฟันให้มิดชิด สำหรับผู้ที่มีความไวต่อแสงรวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง ผู้รับยาบางชนิดที่ไวต่อแสง ควรหลีกเลี่ยงหรือขอคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาก่อน บางรายอาจไม่เหมาะต่อการฟอกสีฟันด้วย Zoom! แต่อาจเหมาะที่จะใช้ระบบ Take Home DayWhite หรือ NiteWhite ซึ่งเป็นชนิดนำกลับไปทำที่บ้านแทน |
|
Q: |
ใช้ระยะเวลาในการฟอกนานแค่ไหน |
A: |
ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ในการฟอกสีฟัน โดยจะใช้เวลาเล็กน้อยในการปกปิดเนื้อเยื่อต่างๆ รอบปากและใช้เวลาอีก 45 นาทีในการฉายแสง |
|
Q: |
มีอาการข้างเคียงหรือไม่ |
A: |
บางคนอาจมีอาการเสียวฟันได้ แสงจาก Zoom! อาจจะทำให้รู้สึกอุ่นเล็กน้อย |
• การอุดฟัน Dental Fillings
การอุดฟันเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมสำหรับผู้ป่วยที่มีฟันผุหรือบิ่น โดยทันตแพทย์จะทำการซ่อมแซมบริเวณนั้นด้วยวัสดุอุดฟันชนิดต่างๆ เช่น วัสดุอมัลกัม และวัสดุเรซินสีเหมือนฟัน
แต่เดิมวัสดุอุดฟันไม่มีให้เลือกมากนัก เรามักใช้วัสดุอมัลกัม [amalgam] ซึ่งมีสีเงิน เป็นตัวหลักในการอุดฟัน แต่ในปัจจุบันวัสดุอุดฟันได้มีการพัฒนามากขึ้น นอกจากคำนึงถึงคุณภาพของวัสดุที่ต้องแข็งแรงแล้ว ความสวยงามก็เป็นสิ่งจำเป็น เราจึงเลือกใช้วัสดุสีเหมือนฟันเพื่อเพิ่มความสวยงามมากขึ้น
การอุดฟันโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามชนิดของวัสดุที่ใช้ดังนี้
- การอุดฟันด้วยวัสดุอมัลกัม
- การอุดฟันด้วยวัสดุเรซินสีเหมือนฟัน
ขั้นตอนการอุดฟันด้วยวัสดุเรซินสีเหมือนฟัน
- ขั้นการตรวจวินิจฉัยและการกรอฟันที่ผุออก
- เนื้อฟันที่ผุและติดเชื้อได้รับการกรอทิ้งไป
- การเตรียมพื้นที่ฟันเพื่อการอุด
- ขั้นตอนการอุดฟัน
ข้อเปรียบเทียบในการใช้วัสดุอมัลกัม และวัสดุเรซินสีเหมือนฟัน ในการอุดฟัน
การอุดฟันด้วยวัสดุอมัลกัม
เป็นการนำวัสดุอมัลกัมที่มีสีเงิน ซึ่งมีส่วนประกอบของสารปรอทในการอุดฟัน |
ข้อดี
- อายุการใช้งานนานกว่า : ประมาณ 10 - 15 ปี หรือมากกว่า
- มีความแข็งแรง : สามารถรองรับแรงบดเคี้ยวได้อย่างดี
- ราคา : จะต่ำกว่าการอุดด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน
ข้อเสีย
- ความสวยงามน้อย :
เนื่องจากมีสีที่ไม่เหมือนฟันตามธรรมชาติ
- การสูญเสียเนื้อฟันมากกว่าที่ควร :
เนื่องจากการอุดด้วยวัสดุอมัลกัมนั้นต้องใช้พื้นที่กว้างในการรองรับวัสดุเพื่อการบูรณะ
- การเปลี่ยนสีของฟัน :
วัสดุอมัลกัมอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของเนื้อฟันรอบ ๆ วัสดุอุดให้เป็นสีเทาเงิน
- อาการแพ้สารปรอท :
น้อยมาก ประมาณ 1% ของผู้รับบริการที่มีอาการแพ้สารปรอทที่เป็นส่วนผสมอยู่ในวัสดุอมัลกัม
การอุดฟันด้วยวัสดุเรซินสีเหมือนฟัน
เป็นการนำวัสดุเรซินที่มีสีเหมือนฟันตามธรรมชาติมาใช้เป็นวัสดุในการอุดฟัน |
ข้อดี
- มีความสวยงาม : สามารถเลือกสีที่เหมือนฟันได้
- มีคุณประโยชน์หลายด้าน : สามารถใช้วัสดุเรซินในการตกแต่งและบูรณะฟันที่บิ่นแตกหรือหักให้กลับมามีรูปร่างดีและสวยงามดังเดิม
- สามารถรักษาเนื้อฟันได้มากกว่า : เนื่องจากการอุดด้วยเรซินสามารถทำได้ด้วยการกรอเนื้อฟันที่เสียออกเท่านั้น ขณะที่การอุดด้วยอมัลกัมต้องกรอเนื้อฟันมากกว่าที่ผุจริงเพื่อรองรับวัสดุอมัลกัม
|
|
ข้อเสีย
- อายุการใช้งาน : อาจไม่นานเท่าการใช้วัสดุอมัลกัม
- ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษานานกว่า : เนื่องจากวิธีการที่ซับซ้อนกว่า
- การแตกของวัสดุ : ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่อุด
- ราคา : สูงกว่าการอุดด้วยอมัลกัม บางครั้งอาจสูงถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับการอุดด้วยอมัลกัม
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา
โดยทั่วไป การอุดฟันหรือการเปลี่ยนวัสดุอุดนั้นสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ในเวลาสั้นๆ
ดังนั้นอาการต่างๆ เช่น การเสียวฟันภายหลังการรักษาจึงแทบไม่พบหรือเกิดขึ้นได้น้อยมาก
การอุดฟันหลายบริเวณสามารถกระทำให้แล้วเสร็จได้ภายในวันเดียวกัน แต่สำหรับผู้ป่วยที่มี
จำนวนฟันที่ต้องรับการอุดจำนวนมากนั้นอาจต้องทยอยอุดฟันไปจนครบทุกซี่
การดูแลรักษาภายหลังการอุดฟัน
- ควรทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเป็นการเริ่มวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
- ควรทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง
- ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ก่อนเข้านอนทุกวัน โดยกลั้วน้ำยาบ้วนปากและอมไว้ประมาณ 1 นาที และไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารภายใน 30 นาทีหลังจากนั้น
- ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและเข้ารับการขัดฟันขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6 เดือน
- ในกรณีที่มีอาการเสียวฟันหรือปวดฟัน หรือมีการแตกและหลุดของวัสดุอุดฟัน ควรพบทันตแพทย์ทันที
- การทำครอบฟัน และสะพานฟัน
การครอบฟัน ประกอบด้วยครอบฟันที่ครอบยึดบนฟันซี่ข้างเคียงเพื่อความมั่นคง และมีครอบฟันตัวลอย (pontic) เป็นตัวเชื่อมระหว่างกลางเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป
สะพานฟัน ประกอบด้วยครอบฟันที่ครอบยึดบนฟันซี่ข้างเคียงเพื่อความมั่นคง และมีครอบฟันตัวลอย (pontic) เป็นตัวเชื่อมระหว่างกลางเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไปและเป็นตัวเชื่อม ครอบฟัน ที่เกาะยึดบนฟันซี่ข้างเคียง
คุณประโยชน์ของสะพานฟัน
- ช่วยให้มีรอยยิ้มที่สวยงามได้ดังเดิม
- ช่วยให้มีการบดเคี้ยวและการออกเสียงที่ดีได้ดังเดิม
- ช่วยรักษารูปหน้าให้เป็นไปตามปกติ
- ช่วยกระจายแรงบดเคี้ยวให้เป็นไปตามปกติ
- ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการรับแรงบดเคี้ยวที่มากเกินไปของฟันซี่ข้างเคียง
- ช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาการล้มของฟันซี่ข้างเคียงมายังช่องว่าง
- ช่วยรักษาตำแหน่งและการทำงานของฟันให้เป็นไปตามธรรมชาติ
- ช่วยรักษาการสบฟันให้เป็นไปตามปกติ
ข้อปฏิบัติหลังการเข้ารับการทำสะพานฟัน
การดูแลเอาใจใส่เพื่อสุขภาพของปากและฟันที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะพานฟันสามารถมีอายุการใช้งานที่ยาวนานได้ต่อเมื่อฟันที่ใช้เป็นฐานรองรับสะพานฟันมีสุขภาพแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่แข็งภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังการติดยึดสะพานฟัน
- สามารถหลีกเลี่ยงการบวมหรืออาการต่าง ๆ ได้ โดยการบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ (เกลือ 1 ช้อนชา + น้ำอุ่น 1 แก้ว) อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
- ควรดูแลความสะอาดบริเวณที่ติดสะพานฟันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเกิดโรคเหงือก
- อาการเสียวฟันอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางท่าน โดยอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองภายในเวลาไม่นาน ซึ่งถ้าเกิดอาการเสียวฟันผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้ :
- หลีกเลี่ยงการดื่มหรือรับประทานอาหารที่ร้อน เย็นหรือมีความเป็นกรดสูง เช่นน้ำมะนาว นมเปรี้ยว เป็นต้น
- การรับประทานยาแก้ปวดสามารถช่วยลดอาการเสียวฟันได้ระดับหนึ่ง
- ควรเลือกใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสารฟลูออไรด์ในความเข้มข้นสูงซึ่งสามารถลดปัญหาการเสียวฟันได้
- ควรทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
- ควรเริ่มด้วยการรับประทานอาหารอ่อน ๆ จนกว่าจะเคยชินกับสะพานฟันที่ติดอยู่
วิธีการดูแลรักษาภายหลังการทำสะพานฟัน
- ควรทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเป็นการเริ่มวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพปากและฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
- ควรทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง
- ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ก่อนนอนทุกวัน โดยกลั้วน้ำยาและอมไว้ในปากนานอย่างน้อย 1 นาที และไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารภายใน 30 นาทีหลังการบ้วนปาก
- ควรให้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งบริเวณสะพานฟัน
- ควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน
การบูรณะฟันแบบ Inlays และ Onlays เป็นการบูรณะฟันโดยการสร้างวัสดุบูรณะให้เสร็จเรียบร้อยขึ้นเป็นชิ้นงานภายนอกช่องปาก โดยทำให้มีขนาดพอดีกับโพรงฟันที่เตรียมไว้ ทำให้สามารถถอดใส่ และลองวัสดุบูรณะได้ ทำให้สามารถทดสอบความแนบสนิทของวัสดุบูรณะกับผนัง และขอบของโพรงฟันที่กรอเตรียมไว้ก่อนที่จะทำการติดด้วยซีเมนต์ยึดต่อไปเพื่อความสวยงามจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงของงานทันตกรรม
การอุดฟันแบบ Inlays และ Onlays นั้นมีความคล้ายคลึงกับการอุดฟันโดยทั่วไป แต่เนื้อที่ที่จำเป็นต้องได้รับการอุดมีขนาดใหญ่มาก จึงไม่เหมาะสมกับวิธีการอุดฟันแบบธรรมดา ดังนั้นทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ใช้วิธีการอุดแบบ Inlays หรือ Onlays โดยการอุดฟันแบบ Inlays จะเป็นการอุดฟันด้านในของบริเวณฟันด้านนั้น ในขณะที่การอุดฟันแบบ Onlays จะมีวิธีการคล้ายคลึงกับการอุดฟันแบบ Inlays เพียงแต่จะมีพื้นที่ในการอุดมากกว่าแบบ Inlays โดยจะครอบคลุมหลายด้านและหลายมุมของฟัน
คุณประโยชน์ของการบูรณะฟันด้วย Inlays และ Onlays
- เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ฟันและมีความทนทานมากกว่าการอุดฟันแบบธรรมดา
- เป็นอีกหนึ่งทางเลือกแทนการครอบฟันในกรณีที่ฟันมีปัญหาไม่มากนัก
- วัสดุเซรามิกที่ใช้ในการทำ Inlays และ Onlays จะไม่มีการเปลี่ยนสีอันเนื่องมาจากอายุการใช้งานหรือคราบอาหาร
- ให้ความสวยงามแลดูเป็นธรรมชาติกว่าการอุดฟันด้วยวัสดุอมัลกัม
ประเภทของ Inlays และ Onlays
Inlays และ Onlays สามารถทำจากวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก ทอง และเรซิน โดย Inlays และ Onlays ที่ทำจากเซรามิกจะให้ความใสและสวยงามเป็นธรรมชาติ ขณะที่การทำด้วยทองจะมีความแข็งแรงและทนทานสูง
การบูรณะฟันแบบ Inlays เป็นวิธีการบูรณะที่วัสดุบูรณะมีขอบเขตอยู่ในตัวฟัน (intracoronal restoration)
การบูณะฟันแบบ Onlays เป็นการบูรณะที่วัสดุบูรณะที่มีทั้งส่วนที่อยู่ในตัวฟันและส่วนที่มีขอบเขตอยู่ผิวนอกของตัวฟัน (extracoronal restoration) โดยวัสดุที่นำมาใช่ทำ Inlays และ Onlays นั้นมีทั้งโลหะพอร์ซเลน และเรซินคอมโพสิต
ข้อดีของการบูรณะฟันแบบ Inlays และ Onlays
1. มีความสวยงาม มีสีใกล้เคียงฟันธรรมชาติ
2. มีความแข็งแรงกว่าการบูรณะด้วยการอุดฟันแบบธรรมดา (อุดโดยตรง)
3. ลดอัตราการเกิดการหดตัวของวัสดุที่ใช้ในการอุดภายหลังการฉายแสง ลดอาการเสียวฟันภายหลังการบูรณะ ฟันหรืออาจไม่เกิดอาการเสียวฟันเลยก็ได้
4. มีอายุการใช้งานนาน
5. กรณีที่มีจำนวนฟันที่ต้องการบูรณะหลายซี่หรือมีขนาดใหญ่ สามารถเตรียมวัสดุพร้อมกันภายนอกช่องปาก จึงลดระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา
6. สามารถขัดแต่งวัสดุได้ภายนอกช่องปาก จึงสามารถป้องกันความร้อนหรืออันตรายจากการกรอแต่งวัสดุในช่องปากได้
การรักษาด้วยการทำ Inlays และ Onlays
ขั้นตอนการรักษาด้วยการทำ Inlays และ Onlays
- ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยและการเตรียมฟัน
- การฉีดยาชาบริเวณฟันซี่ที่จะรักษา
- การกรอฟันให้มีรูปร่างที่เหมาะสม
- การจดบันทึก สี ขนาด รูปร่างของฟันที่ต้องการ
- การพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลอง
- แบบจำลองและรายละเอียดทั้งหมดจะถูกส่งไปยังห้องแลบเพื่อทำ Inlays หรือ Onlays
- ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันแบบชั่วคราวให้แก่ผู้ป่วยสำหรับใช้งาน
- ขั้นตอนการติด Inlays หรือ Onlays
- การรื้อวัสดุอุดแบบชั่วคราวออก
- การติดยึด Inlays หรือ Onlays บนฟัน การตรวจเช็คและการปรับแต่งให้มีความเหมาะสมที่สุด
- ขั้นตอนการดูแลรักษา
การทำ Inlays หรือ Onlays นั้นมีความคล้ายคลึงกับการอุดฟันโดยทั่วไป เพียงแต่วัสดุที่ใช้ในการทำ Inlays และ Onlays นั้นจะมีความแข็งแรงและทนทานมากกว่าวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันและการรักษาด้วยวิธีนี้จะก่อให้เกิดอาการเสียวฟันได้น้อยมาก
การดูแลรักษาหลังการทำ Inlays และ Onlays
- ควรทำความสะอาดด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเป็นการเริ่มวินัยที่ดีในการดูแลสุขภาพปากและฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
- ควรทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง
- ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ก่อนนอนทุกวัน โดยกลั้วน้ำยาและอมไว้ในปากนานอย่างน้อย 1 นาที และไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารภายใน 30 นาทีภายหลังการบ้วนปาก
- ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งบริเวณที่ได้รับการรักษา
- ควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน
.
- การทำวีเนียร์ (Veneer) หรือเคลือบฟันเทียม (Facing)
การเคลือบผิวฟัน เป็นการนำวัสดุเซรามิกที่มีความบางเป็นพิเศษมาติดบนผิวฟันด้านหน้า ซึ่งสามารถช่วยป้องกันฟันที่มีผิวหน้าสึกกร่อนให้มีความแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาเรื่องรูปร่างหรือสีของฟันที่ไม่สวยงามได้อีกด้วย
การเคลือบฟันเทียม (Veneer or Facing)
การเคลือบฟันเทียม หรือ การทำวีเนียร์ (Veneer or Facing) เป็นทันตกรรมเพื่อความสวยงามที่สามารถแก้ไขความผิดปกติของรูปร่างฟัน สีฟัน รวมถึงการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติเล็กน้อย
การเคลือบฟันเทียม เป็นการฉาบผิวฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน สามารถทำได้ด้วยวัสดุ 2 ประเภท ได้แก่ คอมโพสิตเรซิน (Composite Rasin) และ พอร์ซเลน/เซรามิก (Porcelain/Ceramic) โดยมีการกรอแต่งผิวเคลือบฟันในปริมาณที่น้อยมากเพื่อนำวัสดุสีเหมือนฟันมาติดกับผิวด้านหน้าของฟัน
การเคลือบฟันเทียม จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้แก้ไขสีฟันที่หมองคล้ำให้แลดูเหมือนสีฟันธรรมชาติได้ โดยสูญเสียเนื้อฟันน้อยกว่าการทำครอบฟัน วัสดุที่นิยมนำมาใช้ในงานเคลือบฟันเทียมได้แก่ เซรามิค และคอมโพสิตเรซิน
วัตถุประสงค์ในการทำเคลือบฟันเทียม
1. เพื่อปิดช่องว่างระหว่างฟันหน้าหลายๆซี่ ที่ห่างกันเพียงเล็กน้อย
.
.
.
2. เพื่อแก้ไขรูปร่างฟันที่ผิดปกติ
3. เพื่อรักษาฟันซึ่งเกิดการหักของฟันโดยไม่ทะลุโพรงประสาทฟัน
4. เพื่อแก้ไขฟันที่มีเคลือบฟันผิดปกติ
5. เพื่อแก้ไขฟันที่มีสีเข้มผิดปกติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฟอกสีฟัน
ฟันที่มีสีเข้มจากการได้รับยาเตตร้าไซคลิน ก่อนการรักษา
ฟันบนหลังการรักษา
ฟันบนและล่างหลังการรักษา
6. เพื่อแก้ไขฟันที่เรียงตัวผิดปกติไม่มาก
|
|
ก่อนการรักษา |
หลังการรักษา |
|
|
ก่อนการรักษา |
หลังการรักษา |
การเคลือบผิวฟันด้วยวัสดุเซรามิกสีเหมือนฟัน หรือที่เรียกกันว่า “ วีเนียร์ ” นั้น เป็นการติดแผ่นเซรามิกที่มีความบางและใสบริเวณผิวด้านหน้าของฟันเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟัน เช่น แก้ไขปัญหาฟันสีเทาที่เกิดจากยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น สารเตตร้าไซคลีน ฟันที่ถูกทำลาย เช่น ฟันที่ผุด้านหน้า ฟันกร่อน ฟันสึก หรือแตกหัก เป็นต้น ให้มีสีและขนาดที่สวยงาม รวมทั้งเพิ่มความแข็งแรงและทนทานให้แก่ผิวฟันอีกด้วย ทั้งนี้คราบสีต่างๆ เช่นคราบอาหาร คราบบุหรี่ ชา และกาแฟ จะไม่สามารถติดบนวัสดุเซรามิกที่ใช้ในการเคลือบผิวฟันได้
การเคลือบผิวหน้าฟันด้วยวัสดุพอร์ซเลนคืออะไร
แผ่นวีเนียร์คือแผ่นเซรามิก หรือพอร์ซเลนใสบางๆ (ประมาณ 0.5มม.) ที่ปิดเคลือบบนผิวด้านหน้าฟัน หลังจากที่มีการพิมพ์ฟันแล้ว พิมพ์นั้นจะถูกส่งไปยังห้องแลป เพื่อประดิษฐ์ชิ้นงานให้เหมาะสม และติดแน่นกับฟันแต่ละซี่ของคนไข้ โดยวิธีการยึดติดที่ถูกกำหนดมาเป็นพิเศษ การทำเคลือบผิวฟัน จะทำในส่วนฟันด้านหน้าที่มองเห็นได้ชัดเจน และด้วยการยึดแน่นแบบพิเศษนี้จะทำให้วัสดุเคลือบยึดติดกับเนื้อฟัน ไม่ทิ้งให้เกิดช่องว่าง หรือช่องห่างระหว่างฟัน และมีความสวยงามแบบธรรมชาติ
คุณประโยชน์ของการทำเคลือบฟันเซรามิก
ถ้าเปรียบเทียบกับการทำครอบฟันแบบดั้งเดิมนั้น การทำการเคลือบผิวฟันจะเป็นที่นิยมของคนทั่วไปมากกว่า เนื่องจากจะมีการสูญเสียเนื้อฟันน้อยกว่า นอกจากนี้ยังแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานที่นานกว่าด้วย
ถ้าพูดถึงด้านความสวยงามแล้ว การทำเคลือบผิวฟันจะมีความสวยงามที่เด่นชัดกว่าการทำครอบฟันโดยทั่วไป ทั้งนี้ ด้วยเอกลักษณ์ความบางของวัสดุเคลือบฟัน จึงทำให้สามารถติดไปบนหน้าฟันได้โดยไม่ต้องวางไว้ใต้เหงือกแต่อย่างใด
นอกจากนี้ โรคเหงือกต่างๆ หรือเหงือกร่น ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่มักจะเกิดจากการทำครอบฟัน ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับการรักษาด้วยวิธีเคลือบฟันวีเนียร์แต่อย่างใด
การทำเคลือบผิวฟันแบบวีเนียร์เป็นวิธีทางเลือกที่ยอดเยี่ยมและน่าสนใจที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟันหน้า เช่น ฟันเรียงตัวไม่สวยงาม การมีช่องห่างระหว่างฟัน หรือฟันเป็นคราบดำ
การเคลือบผิวฟันแบบวีเนียร์แก้ไขปัญหาประเภทใดได้บ้าง
- ฟันดำ ด่าง หรือเปลี่ยนสี อาจจะเนื่องจากการรักษารากฟันหรือเกิดจากการใช้ยาเตตร้าไซคลิน หรือยาอื่นบาง ชนิด ฟันที่ได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป หรือฟันเปลี่ยนสีที่เกิดจากการอุดฟัน
- ฟันผุ หรือฟันกร่อน
- ฟันแตก หรือฟันบิ่น
- ฟันที่เรียงตัวไม่สวยงาม ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน ผิดรูปร่าง หรือฟันไม่เรียบ
- ฟันที่มีช่องห่างระหว่างกัน (ต้องการปิดรอยห่างระหว่างซี่ฟัน)
ข้อดีของการเคลือบผิวฟัน
- ให้ความสวยงามแบบธรรมชาติ
- ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเหงือกหรือเนื้อเยื่อใดๆ
- ไม่เกิดคราบต่าง ๆ และรอยด่างบนวัสดุเคลือบผิวฟัน
- สามารถเลือกสีของฟันที่ต้องการได้ ซึ่งหากเดิมมีสีฟันที่หมองคล้ำก็จะเปลี่ยนเป็นฟันที่ขาวสะอาดได้
- สามารถเลือกรูปร่างได้ตามต้องการ
โดยทั่วไปแล้ว การทำเคลือบผิวฟันไม่จำเป็นต้องกรอเนื้อฟันมากเหมือนกับการทำครอบฟัน ทั้งยังมีคุณสมบัติคงทนแข็งแรง และให้ความสวยงาม นอกจากนี้แล้วยังไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษใด ๆ เลยด้วย เพียงแต่ดูแลความสะอาดของช่องปาก ด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันตามปกติเท่านั้น
ข้อดีของการเคลือบผิวฟัน
- โดยปกติแล้ว ท่านจะต้องมาพบทันตแพทย์สองครั้ง ครั้งแรกเพื่อรับคำปรึกษา การตรวจวิเคราะห์ การวางแผนและการจัดเตรียมงาน และครั้งที่สองเพื่อการใส่เคลือบฟัน
- ในแต่ละครั้งจะมีการเตรียมงานหลายอย่าง เช่น ทันตแพทย์จะตรวจวิเคราะห์ฟันก่อน รวมถึงแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ กรอฟันและแต่งฟันก่อนเข้ารับการรักษา พิมพ์ฟันเพื่อทำแบบจำลอง ส่งแบบจำลองไปทำชิ้นส่วนวีเนียร์ ติดยึดเซรามิกบนผิวฟัน พร้อมฉายแสงรังสีเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ตรวจเช็คและปรับแต่งให้เหมาะสม
ขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์และวางแผนการรักษา
ทันตแพทย์จะสอบถามถึงความคาดหวังของท่าน และตรวจสภาพฟันเพื่อดูว่าเหมาะสมกับการทำเคลือบผิวฟันหรือไม่ นอกจากนี้ทันตแพทย์จะบอกถึงวิธีการทำและข้อจำกัดของการรักษา ทั้งนี้ทันตแพทย์อาจจะต้องถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อประกอบการพิมพ์ปากและฟันของท่านด้วย
- การเตรียมการรักษา ทันตแพทย์จะต้องกรอเนื้อฟันออกเล็กน้อย ประมาณ 0.5-1.9 มิลลิเมตร ซึ่งจะเท่ากับความหนาของตัวเคลือบฟัน เพื่อให้เคลือบฟันสามารถปิดทับลงไปได้พอดี แต่ก่อนการกรอผิวฟันนั้น ทันตแพทย์จะพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยาชาหรือไม่ และต่อจากนั้นจัดทำรูปแบบจำลองและพิมพ์ฟันของท่าน รูปแบบจำลองฟันนี้จะถูกส่งไปยังห้องแล็บของทางคลินิก เพื่อทำชิ้นส่วนเคลือบฟัน โดยปกติขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 5-7 วัน หลังการใส่เคลือบฟันแล้ว หากจำเป็นต้องมีการปรับแต่งใดๆ ทางทันตแพทย์จะไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- การติดเคลือบฟัน ก่อนการติดเคลือบฟันอย่างถาวรบนฟันของท่าน ทันตแพทย์จะทดลองวางดูว่าขนาดและสีเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งทันตแพทย์สามารถจัดแต่งรูปแบบหรือสีจนท่านพึงพอใจ ก่อนจะใส่เคลือบฟันเข้าไป ขั้นต่อไปคือการเตรียมฟันก่อนการใส่เคลือบฟัน ทันตแพทย์จะทำความสะอาด และขัดฟันของท่านเพื่อให้ฟันมีความหยาบเพื่อจะได้ติดแน่น และติดกาวชนิดพิเศษเพื่อให้ตัวเคลือบฟันยึดกับฟันอย่างแน่น เมื่อเข้าที่ดีแล้ว จะฉายคลื่นแสงลงไปบนตัวเคลือบฟัน เพื่อทำให้กาวนั้นทำปฏิกิริยาและแห้งเร็วขึ้น ขั้นตอนสุดท้ายคือการทำความสะอาดเนื้อกาวส่วนเกินออกให้หมด ทดสอบการกัดและการสบฟัน และปรับแต่งอื่นๆ ตามเหมาะสม |